เปิดตำนานพ่อแก่ ผู้รู้กาลทั้งสาม / โดย มหานิยม
พ่อแก่หรือฤาษี มีความเป็นมาและตำนานที่กล่าวขานไว้อย่างไร?
มหานิยมจะเล่าให้ฟัง...
ปู่ฤาษีโคตบุตร เป็นฤาษี ที่บำเพ็ญตบะอยู่ในบริเวณป่าหิมพานต์ ท่านเป็นฤาษี ที่มีรูปร่างหน้าตางดงามมาก เป็นที่เคารพรัก ของเหล่ามนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย เมื่อใครได้มาพบเห็นก็จะเกิดความรู้สึก รัก ชอบและหลงใหล ในรูปร่างและหน้าตาของฤาษีตนนี้ทันที ไม่เว้นแม้แต่ เหล่าเทพนารีบริวารแห่งองค์ พระศิวะมหาเทพ ที่ลงมาเที่ยวเล่นกัน ในเขตของป่าหิมพานต์ ที่พอได้มาพบกับปู่ฤาษีโคตบุตรเข้า ก็เกิดมีความหลงใหล ในรูปร่าหน้าตาของปู่ฤาษีตนนี้ทันที เทพนารีทั้งหลายเลยไม่ยอมกลับไปเขาไกรลาส ยินยอมอยู่ปรนนิบัติ รับใช้ปูฤาษีโคตบุตร นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ร้อนถึงพระศิวะ มหาเทพเกิดความสงสัยว่าเทพนารี บริวารของพระองค์หายไปไหนกันหมด เมื่อพระองค์ ทรงเล็งญาณดูจึงรู้ว่า เหล่าเทพนารี มาอาศัยอยู่กินกับฤาษีโคตบุตรนั่นเอง พระศิวะจึงเสด็จลงมาจากเขาไกรลาส ตรงมาหาฤาษีโคตบุตร ด้วยความขุ่นเคืองพระทัย ว่าฤาษีโคตบุตร ลบหลู่ และไม่เคารพยำเกรงในพระองค์ พระองค์ทรงใช้ตรีศูร ตัดเศียรของฤาษีโคตบุตร ขาดออกจากกันในทันที โดยมิได้สอบถามเรื่องราว ว่าใครผิด ใครถูก ด้วยฤาษีโคตบุตร มีฤทธิ์เดชพอตัว จึงยังไม่เสียชีวิตในทันที ฤาษี จึงทูลเล่าความจริงให้พระศิวะทรงทราบ ตามความจริงทั้งหมด เมื่อพระศิวะ ทรงทราบความจริงดันนั้นแล้ว ก็ทรงรู้สึก เสียใจ ต่อการกระทำของตนเอง ยิ่งนัก ที่ด่วนใจร้อนไม่สอบถาม ไตร่สวนเรื่อราวให้ดีเสียก่อน
ดังนั้นพระศิวะท่านจึงได้ใช้ฤทธิ์แห่งพระองค์ที่มี ทรงต่อเศียรของฤาษีโคตบุตร เข้ากับ ร่างเดิม ฤาษีโคตบุตร จึงกลับฟื้นมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และเพื่อเป็นการลบล้างความผิดพลาดของพระองค์ที่ทำไปโดยไม่ยั้งคิด พระองค์จึงมีพระศิวะโองการออกไปว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มนุษย์คนใด ที่ได้นำรูปเศียรของฤาษีโคตบุตร ไปเคารพ สัการะบูชา มนุษย์ผู้นั้น จะมีใบหน้าที่งดงาม มีเสน่ห์ เป็นที่รักของผู้ที่ได้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเทวดาทั้งหลาย ก็จะมีความงามเฉกเช่นเดียวกันกับฤาษีโคตบุตร นับตั้งแต่นั้นมา เศียรของฤาษีโคตบุตร จึงได้ถูกนำมากราบไหว้สักการะบูชา เป็นที่เคารพ ของเหล่าศิสปิน นักแสดงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น นักร้อง นักแสดง โขน ลิเก ลำตัด เพลงอีแซว ฯลฯ โดยเศียรฤาษีโคตบุตร จะถูกเรียกขนานนามว่าเศียรพ่อแก่ มาจวบจนกระทั่งทุกวันนี้
บางตำนานเล่าว่า พ่อแก่ หรือพระฤาษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่างๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา เนื่องด้วยเกิดจากความเชื่อที่ว่า ในอดีต พ่อแก่หรือพระฤาษีได้เป็นผู้นำเอาศิลปะ แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง หรือแม้แต่การร่ายรำ นาฏศิลป์ต่างๆ มาถ่ายทอดให้แก่มนุษย์ได้รับรู้ความงาม ความอ่อนช้อยของศิลปะ รู้จักความอ่อนโยน รู้จักรัก รู้จักเมตตา และการให้อภัย ก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษยชาติ ดังนั้นศิลปิน หรือผู้เกี่ยวข้องในศิลปะทุกแขนง
ในประเทศไทยจึงได้เคารพบูชาพ่อแก่ หรือครูฤาษีว่าเปรียบดังบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง เมื่อได้บูชาแล้วจะก่อให้เกิดศิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้าในด้านการงาน มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมในตัว พ่อแก่, พระฤาษี หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า ครูฤาษี ถือเป็นบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤาษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 108 องค์ ปางเสมอเถรถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุดในบรรดาทั้ง 108องค์ คำว่า ฤาษี มาจากคำว่า ฤาษิ แปลว่า ผู้เห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌาน ซึ่งสามารถแลเห็นอดีตปัจจุบัน และอนาคตได้ บางครั้งก็เรียกพ่อแก่หรือฤาษีว่า "ตฺริกาลชฺญ" แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม
นอกจากนี้พระฤาษียังถือว่าเป็นผู้ประทานสรรพวิชาความรู้ ทั้งมวลแก่มนุษยชาติ เนื่องด้วยตำราทางโหราศาสตร์ และตำราทางเทววิทยา กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวล เนื่องด้วยพระอิศวรมหาเทพ ร่ายพระเวทให้ฤาษี 19 ตน ป่นเป็นธุลี แล้วห่อด้วยผ้าสีแก้วไพฑูรย์ ประพรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นเทวราช มีสีกายดั่งแก้วไพฑูรย์ มีวิมานบุษราคัม ทรงกวางทองเป็นพาหนะ รักษาเขา พระสุเมรุด้านทิศตะวันตก มีร่างกายแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีจึงมีปัญญาบริสุทธิ์ เฉลียวฉลาด พูดจาไพเราะเสนาะหู เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวลรวมถึงเป็นอาจารย์ของเหล่า เทพเทวดา จึงให้ถือว่าวันพฤหัสบดีอันแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีเป็นวันครูจึงมีการไหว้ครูกัน ในวันนี้ ซึ่งมีสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน...